โอเปร่า หรือ อุปรากร คืออะไร

โอเปร่า



ต้นกำเนิดของโอเปร่านั้น ขอสรุปคร่าวๆว่าเกินในประเทศอิตาลี่ ราวๆ ช่วงท้ายๆศตวรรษที่ 16  และมีการพัฒนาเรื่อยมาจนใกล้เคียงกับโฮเปร่าในยุคปัจจุบันราวๆต้นศตวรรษที่ 17  ในยุคบาโร้คนั้น ผู้แสดงจะเป็นหญิงล้วน แต่พอเข้ายุคคลาสสิค เริ่มมีนักแสดงชายหญิง ทั้งนี้โมสาร์ท ก็เป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนา โอเปร่าในยุคคลาสสิคให้มีมาตรฐานมากขึ้น  






  องค์ประกอบของการแสดงโอเปร่าสามารถแบ่งได้ดังนี้
1. เนื้อเรื่อง  ซึ่งดัดแปลงมาจากนินทาน ตำนาน เทพนิยาย ต่างๆ โดยคีตกวีจะเป็นผู้ประพันธ์บทเพลง หรือบางเรื่องนั้น คีตกวีเป็นผู้ประพันธ์ทั้งเนื้อเรื่องและบทเพลงก็มี
2. ดนตรี  การแสดงจะเริ่มขึ้นด้วยเพลงโหมโรง และ ดนตรีประกอบบทพูดบทร้องตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งเป้นองค์ประกกอบสำคัญของการแสดง ซึ่งในบางครั้ง การแสดงโอเปร่าที่มีดนตรีประกอบที่ดีมากๆ จะได้รับการยกย่องว่าเป็นผลงานของคีตกวีไปเลย (ดังกว่าคนแต่งเรื่อง และเขียนบท) เช่น Madame Butterfly ถูกยกย่องให้เป็นผลงานชิ้นเองของ Puccini  แต่น้อยคนที่จะรู้ว่าเนื้อเรื่องเป้นผลงานของ David Belasco (เรื่องนี้คนไทยจะรู้จักในชื่อ โจโจ้ซัง เนื้อเรื่องเดียวกันเลยแหละ อันความรักมักชวนชักให้ใจลุ่มหลงระเริง เปรียบดั่งเปลวเพลิงที่ได้จุนเจือเชื้อไปไหม้ลาม
3. ผู้แสดง  อันนี้สำคัญมาก ต่อให้เพลงดี เนื้อเรื่องดี แต่นักแสดงยังไม่เก่งก็ทำให้การแสดงนั้นแย่ได้ ซึ่งโอเปร่านั้นจะใช้นักร้องที่มีเสียงอันทรงพลังที่ได้รับการฝึกฝนมาเพื่อป็นนักแสดงโอเปร่า ตลอดจนฝีไม้ลายมือการแสดงเข้าขั้น Drama Queen ไปเลย และโอเปร่ามักจะใช้นักแสดงที่มีเสียงสูง
รับบทเป้นตัวหลักของเรื่อง 


เสียงของนักแสดงนั้นสามารถแบ่งได้ 6 ประเภท
1. โซปราโน่ (Soprano) เป็นระดับเสียงสูงสุดของนักร้องหญิง
2. เมซโซ่โซปราโน่(Mezzo - Soprano) เป็นระดับเสียงกลางของนักร้องหญิง
3. คอนทรัลโต หรือ อัลโต้ (Contralto or Alto) เป็นเสียงระดับต่ำสุดของนักร้องหญิง
4. เทเนอร์ (Tenor) เป็นเสียงระดับสูงสุดของนักร้องชาย
5. บาริโทน (Baritone) เป็นเสียงระดับกลางของนักร้องชาย
6. เบส (Bass) เป็นเสียงระดับต่ำสุดของนักร้องชาย





 
แหล่งที่มา





ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เบียว คืออะไร

วิธีทำ “ก้อยเนื้อ” เมนูอาหารอีสาน